เจ้าพระยาอินทคีรีสมบัติ (บุญหุ้ย)
วีรบุรุษเมืองสงขลา (พ.ศ. ๒๓๒๗ - ๒๓๕๔)
พ.ศ. ๒๓๒๙ พม่ายกกองทัพมาตีเมืองนครศรีธรรมราชแตก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลยกกองทัพมาตีเอาเมืองนครคืน เมื่อเสร็จศึกแล้วจึงเสด็จฯ ต่อมาตั้งพลับพลาที่ตำบลบ่อพลับ เมืองสงขลา และให้พระยาไทร พระยาตรังกานู พระยากลันตัน และพระยาตานี มาเข้าเฝ้าฯ พร้อมกัน แต่พระยาตานีแข็งขืน จึงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงสุวรรณคีรีสมบัติ (บุญหุ้ย) เป็นทัพหน้าไปตีเมืองตานี ก่อนที่ทัพหลวงจะตามไปจับตัวพระยาตานี พร้อมนำปืนใหญ่นางพญาตานี ไปเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกที่กรุงเทพฯ ความดีความชอบในครั้งนั้น จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาสุวรรณคีรีสมบัติ (บุญหุ้ย) และนายบุญเฮี้ยวได้เป็นพระอนันตสมบัติและเป็นผู้ว่าราชการเมืองจะนะ นายบุญชิ้นเป็นพระพิเรนทรภักดี และนายเถี้ยนเส้งเป็นพระสุนทรนุรักษ์ ช่วยราชการเมืองสงขลาทั้ง ๓ คน find this
ตลอดระยะเวลาการปกครองเมืองสงขลาของพระยาสุวรรณคีรีสมบัติ (บุญหุ้ย) เต็มไปด้วยศึกสงครามกับข้าศึก ได้ร่วมปราบกองทัพพม่าที่เข้ายึดเมืองถลาง ปราบกบฎแขกโต๊ะสาเหยดและพระยาตานี มีความชอบเป็นอันมาก จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นเจ้าพระยาอินทคีรีศรีสมุทรสงครามรามภักดี อภัยพิริยบรากรมพาหุ ๓ ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา และยกเมืองสงขลาเป็นเมืองเอกให้ขึ้นกับกรุงเทพฯ อีกทั้งพระราชทานยกเมืองไทรบุรี เมืองตานีและตรังกานูให้ขึ้นกับเมืองสงขลาด้วย
พ.ศ. ๒๓๓๑ พระอนันตสมบัติ (บุญเฮี้ยว) เจ้าเมืองจะนะได้ถึงแก่กรรม เจ้าพระยาอินทคีรี (บุญหุ้ย) จึงอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้ง ๓ คนแทน คือ เถี้ยนจ๋ง เถี้ยนเส้ง และเถี้ยนไล่ (ต่างมารดา) โดยถวายเถี้ยนจ๋งไปเป็นมหาดเล็กที่กรุงเทพฯ
เจ้าพระยาอินทคีรี (บุญหุ้ย) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองจนถึงปี พ.ศ. ๒๓๕๔ ก็ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคชรา