ชมรมสายสกุล ณ สงขลา
39·ซอยสวรรค์วิถี·ถนนสุทธิสารวินิจฉัย·แขวงสามเสนนอก
เขตห้วยขวาง·กรุงเทพฯ 10320
โทร 08-1483-0438
1 พฤศจิกายน 2559
เรียน ญาติ ณ สงขลาทุกสายสกุลที่รักและเคารพทุกท่าน
หนังสือเวียนฉบับที่ 4 ประจำปี 2559 มีข่าวคราวที่จะเรียนให้ญาติ ๆ ทราบ ดังนี้
บังคมบรมราชเจ้า จอมไทย
เสด็จสู่สวรรคาลัย สุดเศร้า
บุญญาพระเกรียงไกร เกริกโลก
พลันดับมืดทุกแดนด้าว ฤดีสลาย
อาราธน์ฤทธิ์ทั่วฟ้า ปฐพิน
ทวยเทพอาทิอินทร์ อาตม์อ้าง
บุญก่อด้วยบดินทร์ มากล้น
โปรดดลกษัตริย์ท้าง สู่สรวง - สวรรค์เทอญ
ปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า สมาชิกในสกุล ณ สงขลาทุกสายสกุล
(ดร. เวคิน สุวรรณคีรี – ร้อยกรอง)
ผมนับว่าเป็นนักเรียนไทยที่โชคดีที่สุดคนหนึ่ง ที่ได้รับพระราชทาน “ทุนภูมิพล” จากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการศึกษาเล่าเรียน เนื่องจากพระองค์ทรงตระหนักดีว่า การศึกษาของเยาวชนนั้นเป็นพื้นฐานอันสำคัญของประเทศชาติ ดังจะเห็นได้จากพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่คณะครูและนักเรียนโรงเรียนจิตรลดา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2523 ความว่า “....ความรู้ที่สะสมเอาไว้ในตัวเป็นสิ่งสำคัญ เป็นเสมือนประทีปสำหรับนำทางเราไปในการปฏิบัติตนในชีวิต จะเป็นการศึกษาต่อก็ตามหรือจะเป็นการไปประกอบอาชีพการงานก็ตาม ความรู้นั้นจะเป็นเครื่องนำทางไปสู่ความเจริญ ความรู้ทางวิชาการก็จะสามารถใช้ประกอบอาชีพการงานที่มีประสิทธิภาพ เท่ากับเป็นสิ่งที่จะเลี้ยงตัวเลี้ยงกายเรา ความรู้ในทางประพฤติที่ดี จิตใจที่เข็มแข็งที่ซื่อสัตย์สุจริตนั้น จะนำเราไปได้ทุกแห่ง เพราะเหตุว่าผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ผู้มีความขยันหมั่นเพียร ผู้มีความตั้งใจที่แน่วแน่นั้น ไม่มีทางที่จะล่มจม เพราะว่าเมื่อเราจะต้องได้รับการช่วยเหลือ ผู้ที่เห็นบุคคลที่มีความประพฤติดี ก็จะเข้าช่วยอุปการะต่อไป แม้ตัวเองก็จะอุปการะตัวเองได้เพราะเห็นแจ้งในสิ่งที่ควรทำ ไม่ถลำไปในทางที่ไม่ถูก อันนี้ก็เป็นความหมายของการศึกษา.....” และพระองค์ทรงทราบว่า เด็กและเยาวชนของไทยมิได้ขาดสติปัญญา หากแต่ด้อยโอกาสและขาดทุนทรัพย์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ตั้งกองทุนการศึกษาหลายกองทุน เช่น ทุนมูลนิธิอานันทมหิดล ทุนเล่าเรียนหลวง ทุนมูลนิธิภูมิพล ทุนมูลนิธิราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการศึกษาของเด็กไทย เพราะการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาคนให้มีประสิทธิภาพ อันเป็นพระราชปณิธานอย่างแรงกล้าของพระองค์
พระราชกรณียกิจในด้านการพัฒนาคนนี้ ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ แต่นานาชาติก็ยกย่องพระองค์เช่นเดียวกัน โดยองค์การสหประชาชาติได้ทูลเกล้าถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549 โดย นายโคฟี อันนัน ในฐานะเลขาธิการองค์การสหประชาชาติในขณะนั้น ได้กล่าวในโอกาสทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลตอนหนึ่ง ความว่า “หากการพัฒนาคนหมายถึง การให้ความสำคัญประชาชนเป็นลำดับแรก ไม่มีสิ่งอื่นใดแล้วที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการพัฒนาคน ภายใต้แนวทางการพัฒนาคนของพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงอุทิศพระวรกาย ทรงงานโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ไม่เลือกเชื้อชาติ วรรณะ และศาสนา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา ด้วยพระปรีชาสามารถในการเป็นนักคิดของพระองค์ ทำให้นานาชาติตื่นตัวภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง การเดินสายกลาง รางวัลความสำเร็จสูงสุดครั้งนี้ เป็นการจุดประกายแนวคิดการพัฒนาแบบใหม่สู่นานาประเทศ” แสดงให้เห็นว่า การพัฒนาคนมีความสำคํญต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมาก
การได้รับพระราชทานทุนภูมิพล เป็นความภาคภูมิใจและเป็นเกียรติยศสูงสุดในชีวิตของผม ผมจึงตั้งใจว่า จะน้อมนำ “คำพ่อสอน” และ “หลักทรงงาน” ของพระองค์มาใช้ในการดำเนินชีวิตทั้งส่วนตัวและการงาน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและด้วยความวิริยะอุตสาหะ อย่างเต็มกำลังความสามารถและสติปัญญา เพื่อเสริมสร้างประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ให้วัฒนาสถาพรยิ่ง ๆ ขึ้นไป และจะสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ในเรื่องต่างๆ ต่อไป
พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า ดร.เวคิน สุวรรณคีรี
1. เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2559 ชมรมสายสกุล ณ สงขลาได้จัดทำบุญ ณ วัดสุทธิวราราม กรุงเทพมหานคร เนื่องในโอกาสที่วันพระราชทานนามสกุล ณ สงขลาเวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่งใน วันที่ 29 มิถุนายน 2559 และเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษและญาติ ๆ ตระกูล ณ สงขลาที่ล่วงลับไปแล้ว โดยมี คุณอาสายจิตร กฤษณามระ ประธานตระกูล ณ สงขลา เป็นประธานในพิธี มีญาติ ๆ ณ สงขลาทุกสายสกุลมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
ประเทศไทยเริ่มมีการใช้นามสกุลในปี พ.ศ.2456 ก่อนนี้เราไม่มีนามสกุล เรียกกันแต่ชื่อ บางคนชื่อซ้ำซ้อนกัน จึงไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ชัดเจน ทำให้เกิดความสับสนในการปกครอง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระราชดำริในเรื่องนามสกุลไว้ในบันทึกจดหมายเหตุรายวันส่วนพระองค์ ลงวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2454 ความว่า
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งได้พูดกันลงความเห็นกัน คือว่าด้วยชื่อแส้ฤาตระกูล ซึ่งในเมืองอื่นๆ เขาก็มีกันแบบทั่วไป แต่ในเมืองเรายังหามีไม่ เห็นว่าดูถึงเวลาอยู่แล้วที่จะต้องจัดให้มีขึ้น การมีชื่อตระกูลเป็นความสะดวกมาก อย่างต่ำ ๆ ที่ใคร ๆ ก็ย่อมจะมองแลเห็นได้คือชื่อทะเบียฬสำมโนครัวจะได้ไม่ปะปนกัน
แต่อันที่จริงจะมีผลสำคัญยิ่งกว่านั้นคือ จะทำให้คนเรารู้จักรำฤกถึงบรรพบุรุษของตน ผู้ได้อุตสาห์ก่อร่างสร้างตัวมา และได้ตั้งตระกูลไว้ให้มีชื่อในแผ่นดิน เราผู้เป็นเผ่าพันธ์ของท่านได้รับมรฎกมาแล้ว จำจะต้องประพฤติตนให้สมกับที่ท่านได้ทำดีมาไว้ และการที่จะตั้งใจเช่นนี้ ถ้ามีชื่อที่จะต้องรักษามิให้เสื่อมทรามไปแล้ว ย่อมจะทำให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวหน่วงใจคนมิให้ตามใจตนไปฝ่ายเดียว จะถือว่า ตัวใครก็ตัวใครไม่ได้อีกต่อไป จะต้องรักษาทั้งชื่อของตัวเองและชื่อของตระกูลด้วยอีกส่วนหนึ่ง”
ดังนั้น ในวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2455 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตรา “พระราชบัญญัติขนานนามสกุล” ขึ้น โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2456 เป็นต้นไป หลังจากตราพระราชบัญญัติแล้ว หลายครอบครัวจึงตั้งนามสกุลตามราชทินนามหรือชื่อของบรรพบุรุษหรือตามถิ่นที่อยู่ของตน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามสกุล ณ สงขลาแก่พระยาอภิรักษ์ราชอุทยาน (ทิตย์) เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2456 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมแก่สมาชิกในสกุล ณ สงขลาอย่างหาที่สุดมิได้ และสมควรอย่างยิ่งที่สมาชิกในสกุล ณ สงขลา จะน้อมนำพระราชดำริดังกล่าวข้างต้นมายึดถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
2. ในวันทำบุญที่วัดสุทธิวรารามเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2559 พลเอกปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ ได้นำเรื่อง “วัดเขาขุนพนม” ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช มาเล่าให้ฟังโดย คุณอาปานเทพเกริ่นนำว่า สาเหตุที่นำเรื่องนี้มาเล่า เนื่องจากเห็นว่าตระกูล ณ สงขลาเป็นตระกูลที่มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ต่อบรรพบุรุษ มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างแน่นแฟ้น รักความยุติธรรม ความถูกต้อง คราวใดที่ตระกูล ณ สงขลาเห็นความไม่ถูกต้อง ก็จะลุกขึ้นต่อสู้ ในเรื่องความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณที่เห็นชัดเจน ก็คือการที่ตระกูล ณ สงขลามีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานนามสกุล ณ สงขลา แต่ยังมีอีกพระมหากรุณาธิคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับตระกูล ณ สงขลา ก็คือ การที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ พระยาสุวรรณคีรีสมบัติ (เหยี่ยง แซ่เฮา) ต้นสกุล ณ สงขลา เป็นเจ้าเมืองสงขลา คุณอาเห็นว่า ตระกูล ณ สงขลาสมควรที่จะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่นี้ และกล่าวต่อไปว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้เสด็จพระราชดำเนินโดยทางเรือ โดยมีเจ้าพระยานคร เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชมารับไปยังวัดเขาขุนพนม ในระหว่างทางเจอพายุ จึงหลบเข้าไปพักในถ้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เวลาต่อมาถ้ำนี้ถูกเรียกว่า “ถ้ำพระยานคร” และ ณ ที่วัดเขาขุนพนมแห่งนี้ ชาวบ้านรอบๆเขาขุนพนมเชื่อว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้เคยมาประทับในขณะครองเพศบรรพชิตและปฎิบัติธรรมเจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ที่นี่ โดยคุณอาได้อ้างข้อสันนิษฐานของหนังสือ “พระเจ้าตากสินยังไม่ตาย?” ประพันธ์โดย ว.วรรณพงษ์ & ภมรพล ปริเชฏฐ์ และในวันที่ 28 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จเถลิงถวัลย์สิริราชสมบัติ ทางวัดจะจัดให้มีการเฉลิมฉลองทุกปี ซึ่งคุณอาได้ไปร่วมงานเป็นประจำ รวมทั้งได้สร้างพระประธานไปถวายวัดและทำนุบำรุงวัดมาโดยตลอด ในปีนี้คุณอาก็จะไปร่วมงานอีกเช่นเคย
คุณอาปานเทพจึงเชิญชวนญาติ ณ สงขลา ให้ร่วมกันรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงนี้ ด้วยการไปร่วมงานเฉลิมฉลองในเดือน ธ.ค.หรือจะไปกับคุณอาในเดือน ธ.ค.นี้ก็ได้ แต่ถ้าไม่สะดวกที่จะไปในเดือน ธ.ค. ก็อาจจะจัดไปเยี่ยมชมวัดนี้ในช่วงเวลาที่พวกเราไปทำบุญเช้งเม็งก็ได้ หรือเราอาจจะทำอะไรสักอย่างเหมือนที่เราทำที่วัดสุทธิวราราม และคุณอาเห็นว่า ในงานรวมญาติที่กรุงเทพในเดือน ม.ค. ของทุกปี คณะกรรมการฯ สมควรที่จะอัญเชิญพระบรมสาทิสลักษณ์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาร่วมในพิธีคารวะบรรพบุรุษของตระกูล ณ สงขลาด้วย
ในเรื่องวัดเขาขุนพนมนี้ เมื่อปีที่แล้ว (28 สิงหาคม 2558) ลูกหลาน เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) รวมทั้งผมด้วย นำโดย คุณนพพงศ์ อังสุวัฒนะ ได้ร่วมเป็นคณะกรรมการดำเนินงานทอดผ้าป่าสามัคคี โดยมีท่าน พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานอุปถัมถ์ และมีท่านพลเอกสุชาติ ชมพูทวีป เป็นประธานคณะกรรมการดำเนินงาน ได้เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินสมทบทุนในการบูรณะและปฏิสังขรณ์ถ้ำที่ประทับเมื่อครั้งทรงผนวชและปฏิบัติธรรมของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ให้มีความงดงามและสมพระเกียรติ
3. โครงการอุทยานการเรียนรู้ประวัติศาสาตร์เมืองสิงหนคร จังหวัดสงขลา (โครงการ) เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2559 นายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองสิงหนคร จ.สงขลา คุณธนกร สังฆโรและคณะ ได้เข้าพบคุณอาเจริญจิตต์ ณ สงขลา เพื่อเสนอแนวความคิดและขอความคิดเห็นจากคุณอาเกี่ยวกับโครงการนี้ เนื่องจากคุณอาเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ตระกูล ณ สงขลาให้ความเคารพ และเคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ปลัดกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เพราะโครงการนี้จะมีการก่อสร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และเจ้าเมืองสงขลา บรรพบุรุษตระกูล ณ สงขลา ทั้ง 8 ท่านด้วย คุณอาเจริญจิตต์จึงขอให้ผมในฐานะที่เคยร่วมปรึกษาหารือเรื่องอนุสาวรีย์พระยาสุวรรณคีรี (เหยี่ยง แซ่เฮา) กับ คุณอามาร่วม 20 ปี รวมทั้งตัวแทน ณ สงขลารุ่นต่อไปที่จะสืบทอดเจตนารมย์ในเรื่องนี้ คือ คุณโรจธัมม์ อนุเสถียร ณ สงขลา คุณธัญรัชฎ์ ณ สงขลา และคุณทรงธรรม ณ สงขลา เข้าร่วมฟังการเสนอโครงการด้วย
ผลการพูดคุยพอสรุปได้ดังนี้ คุณอาเจริญจิตต์เห็นด้วยกับโครงการและยินดีให้การสนับสนุน พร้อมทั้งแนะนำให้ระมัดระวังในเรื่องความเหมาะสมของการวางตำแหน่งอนุสาวรีย์ และควรปรึกษาหลายๆฝ่าย เช่นกระทรวงมหาดไทย กรมศิลปากร เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอความคิดเห็นและคำแนะนำ เนื่องจากคุณกฤษฎาเคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาและเคยปรึกษาหารือกับคุณอาและผม ในเรื่องการก่อสร้างอนุสาวรีย์พระยาสุวรรณคีรี (เหยี่ยง) มาก่อนที่จะย้ายไปเป็นอธิบดีกรมการปกครอง และปลัดกระทรวงมหาดไทยในที่สุดรวมทั้งขอให้ผมเป็นตัวแทนตระกูล ณ สงขลาในการดำเนินการโครงการนี้และรายงานความคืบหน้าให้คุณอาทราบด้วย
4. งานรวมญาติ ณ สงขลาทุกสายสกุลประจำปี 2560 ซึ่งตามประเพณีปฏิบัติของตระกูล เราจะจัดงานรวมญาติในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมกราคมของทุกปี แต่เนื่องจากปีนี้เป็นปีแห่งความวิปโยคโศกเศร้าของประชาชนชาวไทยและประเทศไทย ทุกคนอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ และการไว้ทุกข์นี้จะต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า รวมทั้งทางราชการได้ขอความร่วมมือในการงดจัดกิจกรรมบันเทิงต่างๆ ในระยะนี้ ดังนั้น ชมรมสายสกุล ณ สงขลาโดยความเห็นชอบของท่านประธานและรองประธานตระกูล ณ สงขลา จึงเห็นควรให้งดการจัดงานรวมญาติ ณ สงขลาทุกสายสกุลประจำปี 2560 ที่จะจัดขึ้นในเดือนมกราคม 2560
5. ข่าวสังคม ณ สงขลา.....@ 18 กันยายน เป็นวันคล้ายวันครบรอบวันเกิดคุณอาสายจิตร กฤษณามะ ประธานตระกูล ณ สงขลา ผมในนามญาติ ณ สงขลาทุกสายสกุล ขออารธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งสักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย รวมทั้งบุญบารมีของพรรพบุรุษตระกูล ณ สงขลา จงดลบันดาลให้คุณอาเพียบพร้อมด้วยจตุรพิธพรชัย อายุ วรรณะ สุขะ พละ คิดสิ่งใดขอให้ได้สมปรารถนาจงทุกประการเทอญ.....@ ในงานวันคล้ายวันเกิดของคุณอาสายจิตร ผมได้รับหนังสือจากคุณอามาหนึ่งเล่ม ชื่อ “ช่วงหนึ่งของชีวิต” เขียนโดยคุณอาเอง เป็นการเล่าเรื่องการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บของคุณอามาตั้งแต่เล็กจนถึงปัจจุบัน โดยนำประสบการณ์จากการต่อสู้กับความเจ็บปวดและวิธีแก้ไขด้วยการสร้างกำลังใจให้แก่ตนเองมาเล่าให้ฟัง เป็นการเขียนพรรณาโวหารที่อ่านเข้าใจง่ายและเพลิดเพลินราวกับไม่ใช่เรื่องการต่อสู้กับความเจ็บปวด รวมทั้งแฝงอารมณ์ขันไว้เป็นระยะ ๆ ดังจะขอยกตัวอย่างในตอนที่คุณอาไปติดเชื้อ Cytomegalovirus มาจากต่างประเทศ เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่คนไทยมักจะไม่ค่อยเป็น ความว่า “.....และในที่สุดดิฉันก็ต้องเข้ารับการผ่าตัดลำไส้นะค่ะ ตัดทิ้งออกแล้วก็ต่อ ซึ่งถ้าไม่ตัดออกมันจะลามไปเรื่อยๆ ระหว่างที่ทำการผ่าตัดนั้นมันใกล้ปีใหม่ค่ะ วันที่ 31 ธันวาคม ดิฉันนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลและมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด และไอ้ที่แขวนขวดน้ำเกลือ ยาฆ่าเชื้อ สารพัดจะยาละค่ะ กลางคืนจะมีไฟสีเขียวสีแดงสลับกัน เสียงมันจะดังและมีไฟวิ่งสลับกันอยู่ตลอดเวลา สีเขียว สีแดง สีเหลือง ดิฉันมองดูแล้ว ให้นึกในใจว่าเราก็มาปีใหม่อยู่ในโรงพยาบาล และอยู่บนตึกระฟ้าด้วย แถมยังได้เห็นแสงสีคือว่าเครื่องประกอบการรักษาเนี่ยค่ะ น้ำยาต่างๆ มีแสงออกมาเรื่อเรืองๆ อยู่เรื่อยๆ ดิฉันทำใจว่าเราก็มาฉลองปีใหม่เหมือนกัน เป็นเครื่องปลอบใจอย่างหนึ่งนะค่ะ คือถ้าเราท้อเสียแล้ว จะไม่มีกำลังใจค่ะ ดิฉันคิดว่าถ้าเราอยากจะอยู่เห็นโลกต่อไป เราต้องสู้ การต่อสู้นั้นก็ด้วยการทำตัวของเราให้เห็นอะไรเป็นสิ่งที่น่าอยู่น่าดูไปทั้งหมด ซึ่งจะช่วยได้มากค่ะในเรื่องกำลังใจเช่นนี้......” และในตอนจบของหนังสือ คุณอาได้ฝากข้อคิดให้แก่ทุกคนว่า “ถ้าเราไม่ช่วยตัวเองแล้วไซร้ ใครเล่าจะช่วยให้” ผมคิดว่าเนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจและเป็นกำลังใจให้แก่ทุกคนที่จะต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้เป็นอย่างดีครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอขอบพระคุณญาติๆ ณ สงขลาทุกสายสกุลที่ได้ติดตามข่าวคราวของตระกูลมาโดยตลอด
ด้วยความรักและเคารพ
ดร.เวคิน สุวรรณคีรี
รองประธานตระกูล ณ สงขลา